ในชีวิตคนเราสิ่งที่ง่ายที่สุดในการหาวิธีที่จะแก้ปัญหา ตั้งแต่เด็ก จนโต คือการไปเรียน เพราะเข้าใจว่า ผู้รู้เหล่านั้นจะช่วยให้เราเห็นทางในการแก้ปัญหาได้ ….ซึ่งนั่นก็เป็นวิธีหนึ่งที่ไม่ได้ผิดอะไร แต่ว่าเหมาะกับคนที่เข้าใจจริงๆว่าปัญหาคืออะไรต้องรู้อะไรถึงจะมาช่วยได้ และ ที่สำคัญที่สุดคือ เค้าผู้นั้นต้องเอาสิ่งที่เรียนมาปฏิบัติจริงในการแก้ปัญหาได้ หมายถึงว่า เรียนแล้วเอามาลองทำดู ถ้ามันไม่เวิร์คก็ได้รู้ว่าวิธีนั่นใช้ไม่ได้ แต่ถ้ามันเวิร์คเค้าจะได้มาตรฐานใหม่ในการแก้ปัญหาและวิ่งไปสู่ปัญหาในระดับที่สูงขึ้นเอง
เรื่องที่อยากจะเล่าเช้านี้คือ เมื่อคืนได้มีโอกาสโค้ชนักธุรกิจท่านหนึ่ง ซึ่งทำงานอย่างหนักมา 3 ปีแล้ว จากการเริ่มธุรกิจด้วยความชอบและทักษะทางวิชาชีพเฉพาะทางที่มีกับหุ้นส่วน แต่ไม่เข้าใจเรื่องการบริหารธุรกิจจึงพยายามจะเรียนด้านนี้ แน่ละถ้าการเรียนเหล่านั้นช่วยท่านได้ น้ำใสคงไม่ได้มาเล่าเรื่องนี้!!
ก่อนมาคุยกันท่านบอกว่าท่านเพิ่งจะเรียนหลักสูตรพิเศษระยะสั้นที่ดีมากราคาเกือบแสนมีผู้บริหารที่เป็นคนที่มีประสบการณ์ของธุรกิจด้านนี้โดยตรงมาสอนหลายท่าน น้ำก็ลองกดไปดูหลักสูตรที่ท่านว่า อืม ดูหรูดี และก็สายตรงอย่างท่านว่า แถมท่านบอกว่าคนเรียนก็ไม่ได้เยอะอะไรแค่ 12 คนเอง น้ำเลยถามกลับไปว่า หลักสูตรก็ดูมีหัวข้อที่น่าสนใจหลายเรื่องเลยแถมพาไปทัศนศึกษาที่ธุรกิจด้านนี้ด้วย แล้วได้อะไรจากการเรียนคะ?
ท่านตอบว่า ได้ค่ะ ได้รู้ว่าการบริหารธุรกิจนี้ต้องมีเรื่องอะไรบ้าง ได้เปิดโลกขึ้นเยอะเลย… ฟังแล้วจับความได้ว่า ท่านได้รู้ “หลักการ” หลายอย่างเพิ่มมาจากที่ไม่เคยรู้ …แต่ว่า…เอามาใช้แก้ปัญหาที่มีไม่ได้ เพราะการเรียนก็มีแต่หัวข้อที่กำหนดมา เรียนสัปดาห์ละวันตามหัวข้อ แต่ไม่ได้ “วิธีการ” ในการเอาไปใช้จริงกับปัญหา จากการคุยเริ่มต้นถึงเป้าหมายที่อยากให้ธุรกิจไปถึงภาพที่ผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านั้นมาวาดภาพให้เห็น เราเริ่มลงลึกถึงคำว่า ปัญหาที่กวนใจที่สุดที่อยากแก้จริงๆ คืออะไรกันแน่??
A:ถ้าให้เลือกเพียงแค่อย่างเดียวตอนนี้นะ ปัญหานั้นคือ เรื่องคน
Nam:เป็นอย่างไรคะ?
A:ก็อัตราการเข้าออกสูงมาก
Nam: งั้นคนที่อยู่นานที่สุด หรือ ค่าเฉลี่ยของคนที่ทำงานนานประมาณไหนคะ?
A: 1- 3 เดือน
Nam: !!!!
คุณเห็นปัญหาบางอย่างมั้ย? ถ้าอัตราการเข้าออกของพนักงานเป็นแบบนี้ เจ้าของธุรกิจท่านนี้จะเหนื่อยแค่ไหน? แล้วการไปเรียนมากๆ เพื่อให้เข้าใจระบบ ได้หลักการบริหารจะแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่ ?
เราคุยลงลึกกันต่อไป พร้อมตัวอย่างเคสมากมายที่น้ำยกมาทำให้เค้าเห็นปัญหาที่แท้จริง ก็แปลกดี ที่แม้การเรียนที่ผ่านมาจะไม่ได้ผล ท่านนี้ก็ยังถามน้ำกลับมาว่า งั้นท่านไปเรียนหลักสูตรเฉพาะเพื่อให้มีทักษะการบริหารคนเพิ่มดีมั้ย?
ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่ประเด็นคือ การเรียนนำไปสู่การเข้าใจและใช้ได้หรือไม่ต่างหาก น้ำถามท่านว่า ถ้าให้ท่านแก้ปัญหาเรื่องคน ท่านนึกถึงวิธีอะไรที่ทำได้บ้าง ท่านบอกว่า ที่ไปเรียนมาล่าสุดเค้าบอกให้ทำให้พนักงานรักองค์กร …แต่ท่านไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ที่เรียนบอกว่า ต้องเป็นพี่เลี้ยงพนักงาน… ท่านก็ไม่เข้าใจว่าจะให้เป็นพี่เลี้ยงอย่างไร
คุณเคยมั้ยเรียนๆๆๆ แต่ก็แก้ปัญหาที่มีไม่ได้ เพราะคุณได้เรียนมาแต่ “หลักการ” แต่ขาดคนที่จะช่วยให้คุณได้ “วีธีการ” เพื่อเอาไปใช้จริงๆ และที่หนักกว่านั้น ทุกคนมักสร้างภาพวาดฝันให้ธุรกิจใหญ่โต ก้าวหน้าเหมือนกับเคสที่เรียน แต่คุณลืมไปรึเปล่าว่า ถึงจะไปเรียนกับคนที่ทำธุรกิจแบบเดียวกับคุณสำเร็จมามากแค่ไหน พวกเค้าก็ไม่ใช่คุณ!
เรื่องที่คุณได้ยินเค้าเล่ามันก็ ว้าว! ดีนะ แต่คุณเอามาทำไม่ได้ เพราะคุณไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ยิ่งเรียนก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่ามีหลายอย่างต้องปรับแต่ไม่รู้ว่า จะปรับอันไหนก่อน (นั่นก็เป็นหนึ่งในปัญหายอดฮิตที่น้ำพบจากการโค้ชนักธุรกิจ คือ อยากให้ธุรกิจเป็นแบบนั้น แต่ว่า ไม่รู้จะเริ่มปรับจากตรงไหนก่อนถึงจะเหมาะ)
น้ำเจอ “นักเรียน” แบบนี้เยอะ และสารภาพ ว่าก็เป็นหนึ่งในคนที่เป็น “นักเรียนแบบนี้” คือ เรียนมันสารพัดจนล้นและใช้งานได้ไม่กี่อย่าง ถ้าจำกันได้น้ำเคยเขียนบทความหนึ่งซึ่งทำให้เห็นภาพประสบการณ์นั้นชัดเจน คือ บทความเรื่อง K.A.S.H (สำหรับบทเรียนเรื่องนี้ย้อนไปอ่านได้ที่ http://businessmodelrecipe.com/2015/12/kash/ )
ซึ่งในบทความนั้นน้ำพยายามจะสื่อว่า การเรียนใดๆ ถ้าคุณได้แค่ ความรู้ (Knowledge) และ ได้บอกตัวเองว่า ได้มุมมองใหม่ ได้เปิดโลก (Attitude) คือ ได้ทัศนคติที่เปลี่ยนไปจากตอนก่อนมาเรียน แค่นั้นมันยังไม่พอ และ ยิ่งเรียนไปมากๆ ก็จะยิ่งสับสน เพราะมนุษย์เราผลิตสารพัดหลักการมาได้ทุกวัน คุณก็เห็นนะ ว่าตำรามันออกมามากมายมหาศาลแค่ไหน! แต่คนจะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อเค้าได้ลงมือเอาไปทำจนเข้าใจ (Skill) และทำประจำจนเป็นนิสัย (Habit)
ขอยกคำพูดที่ชอบของโค้ชท่านหนึ่งที่ว่า “ถ้ามนุษย์รู้ว่า ปัญหาที่แท้จริง คืออะไร เค้าจะสามารถแก้มันได้”
แต่ว่า ความจริงคือ เรามักไม่เห็นจุดที่เป็นปัญหาจริงๆ เพราะภาพรอบๆทำให้เราเห็นผิดไป เรายิ่งหาอะไรมาเพิ่มไปทำให้ปัญหาถูกครอบด้วยหลายสิ่งอย่าง นั่นล่ะ จึงต้องมีการโค้ช การช่วยกันหาปัญหาที่แท้จริงให้เจอ จะได้แก้ที่ต้นเหตุ แก้จากจุดที่เล็กที่สุดก่อน
การเรียนก็เป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ว่า ที่สำคัญกว่าการไปเรียนรู้ คือการเอามาลงมือทำ และที่ยากที่สุดที่หลายคนไม่เข้าใจคือ ทำอย่างไรให้การมาทดลองลงมือทำแล้วได้ผลในเวลาอันสั้นและวัดผลที่ทำได้จริงอย่างรวดเร็ว นั่นต้องอาศัย “การโค้ช” หรือ “ที่ปรึกษา” ที่เข้าใจวิธีการหาปัญหา จากการตั้งคำถามที่ถูกต้อง และ ตั้งใจที่จะแก้ปัญหากับคุณจริงๆ !!
นั่นล่ะทำให้การเรียน กับ การโค้ช ต่างกัน….
ถ้าคุณเรียนแล้ว แต่ ไม่สามารถ นำสิ่งที่เรียนไปใช้จริงได้ … ไม่ได้แปลว่าคุณไม่เก่ง
แต่อาจหมายถึง คุณไม่รู้ว่ามุมไหนที่เรียนมาควรปรับใช้กับคุณจริงๆ เพราะคุณไม่เหมือนกับเคสที่เรียนทั้งหมด
มีหลายปัจจัยที่แตกต่างกัน… แต่ถ้าคุณเจอโค้ชธุรกิจที่มีประสบการณ์ พวกเขาจะช่วยให้คุณเห็นมุมที่เหมาะนำมาใช้กับคุณได้ชัดขึ้น